รมว.คลัง ชู 7 ปัจจัยส่งผลต่อศก.ไทยใน 10 ปีหน้า
WWW.HAMSIAM.IN.TH # แฮมสยามอินไทยแลนด์ HAM COMMUNITY OF THAILAND
วันที่ 15 พฤษภาคม 2024 เวลา 09:54:34 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ท่านที่มีกระทู้เยอะ เวลาอัพยกแผงทำให้กระทู้ท่านอื่นตกเร็วมากต่อไปให้อัพ ไม่เกินชั่วโมงละ 2ครั้ง/2กระทู้ นะครับ ชม.ถัดไปถึงอัพใด้อีก 2ครั้ง/2กระทู้
หากต้องการอัพแบบไม่จำกัด
คลิกที่นี่
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รมว.คลัง ชู 7 ปัจจัยส่งผลต่อศก.ไทยใน 10 ปีหน้า  (อ่าน 69 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Chanapot
Super Hero Member III
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11551


« เมื่อ: วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2022 เวลา 20:33:05 »


รมว.คลัง ชู 7 ปัจจัยส่งผลต่อศก.ไทยใน 10 ปีหน้า หนุนใช้มาตรการคลังที่ยั่งยืนดูแล

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนา Future of Growth THAILAND VISION 2030 ว่า ในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา (63-64) ประเทศไทยใช้เวลากับการแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในด้านของเศรษฐกิจ และด้านสาธารณสุขควบคู่กันไป โดยด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เข้าไปแก้ปัญหาในการชดเชยรายได้ กระตุ้นกำลังซื้อ รักษาระดับการบริโภคในประเทศ ขณะที่ด้านสาธารณสุข ได้มีการบริหารจัดการวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง

สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัด ท่ามกลางการแพร่ระบาดที่ยังคงอยู่ คือ เทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ตลอดจนพฤติกรรมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชนที่ให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการให้บริการต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ และการทำธุรกิจการค้าในรูปแบบของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

"เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ได้เห็นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโทฯ ที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคตที่เราต้องเผชิญในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่ถือว่าอยู่ไม่ไกลนัก ถ้าเราไม่ปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศอาจจะถดถอยลงไป" รมว.คลัง ระบุ
พร้อมมองว่า ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อทิศทางของประเทศไทยในระยะ 10 ปีข้างหน้า มี 7 เรื่องที่สำคัญ ประกอบด้วย

1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นภารกิจของทุกประเทศที่ต้องร่วมมือกันในการลดภาวะโลกร้อน การใช้พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาดจะต้องเข้ามาแทนที่การใช้พลังงานจากฟอสซิลมากขึ้น เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า

2. เทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกภาคส่วนตั้งแต่ระดับประชาชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และจะเห็นความเชื่อมโยงของเทคโนโลยีดิจทัลมากขึ้น ทั้งในภาคการผลิต ภาคแรงงาน ตลอดจนภาคการเงิน ซึ่งหน่วยงานที่กำกับดูแลจะต้องทำให้ระบบการเงินมีเสถียรภาพ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่เข้ามา

3. การแพทย์ และบริการด้านสาธารณสุข มีแนวโน้มจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากบริการท่องเที่ยวควบคู่กับบริการด้านสุขภาพ ไปเป็นอสังหาริมทรัพย์ควบคู่บริการด้านสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการดึงดูดและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพให้เข้ามามากขึ้น โดยเชื่อว่าในอนาคต บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขก็จะยังคงเป็นจุดแข็งของประเทศไทย

4. การสนับสนุน SME และ Start Up ให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากขึ้น รวมไปถึงภาคเกษตรเอง ที่จะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าเกษตร

5. การท่องเที่ยว ที่จะต้องคำนึงถึงการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ เป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือลดผลกระทบที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อม

6. ความคุ้มครองทางสังคม คือการสร้างวินัยทางการเงิน การออม ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมได้อย่างทั่วถึงในยามที่เกิดวิกฤติทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจฐานราก

7. โครงสร้างประชากร และสังคมผู้สูงอายุ โดยต้องมีระบบการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสม วางแนวทางเรื่องการทดแทนแรงงานในอนาคตที่จะลดลง การจ้างงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ

นายอาคม กล่าวว่า จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาโควิดแพร่ระบาด จะเห็นได้ว่าประเทศมีภาระทางการคลังมากขึ้นจากการหาเงินกู้เพื่อมาใช้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ดังนั้น ทิศทางของนโยบายการคลังในอนาคตจะต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางการคลัง ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากขึ้น รวมทั้งต้องลดความเหลื่อมล้ำในการจัดเก็บภาษีระหว่างประเทศ

"ขณะนี้ เรายังไม่พ้นช่วงวิกฤติโควิด-19 ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และต้องช่วยกันไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ดี ดัชนีด้านเศรษฐกิจหลายตัวของไทยดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งยังเชื่อว่าในปี 65 นี้ เศรษฐกิจไทยจะยังสามารถเติบโตได้ในกรอบ 3.5-4.5%" รมว.คลัง ระบุ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เริ่มนับสถิติตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2556 เวลา 18.24.52 น. (วันและเวลาตอนเปิดเว็บ)
รวมเพ็จวิวทั้งสิ้นจนถึงวันนี้ free counter ครั้ง

Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2009, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF