ไมค์ พิรัชต์ เล่าความลำบาก เส้นทางโกอินเตอร์
WWW.HAMSIAM.IN.TH # แฮมสยามอินไทยแลนด์ HAM COMMUNITY OF THAILAND
วันที่ 16 พฤษภาคม 2024 เวลา 11:57:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ต้องขออภัย!!! เนื่องจากตอนนี้เว็บไซต์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา หากมีความผิดพลาดในเว็บประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ และจะเป็นการขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หากท่านนำความผิดพลาดนั้นมาแจ้งให้กับผู้ดูแลฯ แล้วทางเราจะรีบเข้าไปแก้ไขในความผิดพลาดนั้นๆให้เร็วที่สุด
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไมค์ พิรัชต์ เล่าความลำบาก เส้นทางโกอินเตอร์  (อ่าน 139 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Chanapot
Super Hero Member III
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11551


« เมื่อ: วันที่ 04 สิงหาคม 2021 เวลา 05:09:43 »




เราเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ ต้องเติบโตมาพร้อมๆ กับ ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล อย่างแน่นอน ซึ่งในวันวานเมื่อครั้งที่เขายังจับไมค์ร้องเพลงกับพี่ชาย กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล เป็นคู่หูดูโอ้สองพี่น้องที่โด่งดังมากในยุคหนึ่ง ที่มีแฟนคลับติดตามอย่างมากมาย 

ข่าวแนะนำ
วันเวลาผ่านไป ทั้งกอล์ฟและไมค์ต่างก็แยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง และ ไมค์ พิรัชต์ น้องชายก็เลือกเส้นทางการเป็นนักแสดง ซึ่งไมค์ได้เป็นพระเอกละครที่ไทยอยู่หลายเรื่อง และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ไม่น้อย 

แต่สุดท้าย ไมค์เลือกที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่าการโกอินเตอร์นั่นเอง แต่การที่ไมค์ตัดสินใจในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง มีความตั้งใจและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในวันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ ไมค์ พิรัชต์ จากเด็กวัยรุ่นกับทรงผมที่ฮิตสุดในตอนเป็นกอล์ฟ-ไมค์ สู่การเป็นวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว 

กอล์ฟ-ไมค์ นักร้องวัยรุ่นสุดโด่งดัง
หลายๆ คนโตมาพร้อมๆ กับ 2 หนุ่ม กอล์ฟ-ไมค์ เราเลยถามตรงๆ ว่าเส้นทางในวงการบันเทิงของไมค์นั้นทำมาประมาณกี่ปีแล้ว และเป็นยังไงบ้าง งานนี้เจ้าตัวตอบเราว่า 

"เรียกว่าโตมากับวงการบันเทิงได้เลยครับ ผมเริ่มเข้ามาทำงานเกี่ยวข้องวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงตอนนี้ก็ 20 ปีแล้วครับ

ทำมาจนวันนี้เหมือนเป็นงานเดียวที่ผมทำจนชำนาญ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว และผมก็รักและยังอยากเรียนรู้แล้วก็เติบโตไปกับมัน

ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราจะรู้สึกสนุกกับมัน รู้สึกอยากตื่นมาทำงาน มันเป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับการทำงาน แต่ก็ยอมรับว่ายังมีพัฒนาตัวเองอีกเยอะที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ และยังต้องฝึกฝนมันต่อไป"


จากนั้น เราให้หนุ่มไมค์ช่วยเล่าสมัยตอนที่เป็นนักร้องดังกับพี่ชาย กอล์ฟ พิชญะ ว่าตอนที่เป็น กอล์ฟ-ไมค์ ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง งานนี้ไมค์เล่าอดีตในวันวานด้วยรอยยิ้มให้เราฟังว่า 

"ย้อนกลับไปคิดก็ตลกดีครับ ตอนนั้นยังเด็กๆ กันทั้งคู่ แล้วก็เข้าวงการมาด้วยกันตั้งแต่อายุยังน้อย ทุกวันหลังเลิกเรียนก็ตรงไปเข้าห้องซ้อมเลย ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ เหมือนเรามีภารกิจที่ต้องทำ

ก็กดดันบ้าง แต่รวมๆ ก็คือสนุกนะครับ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมมีความสุขที่ได้ร้องเพลงและได้เจอกับแฟนๆ ทุกคน แล้วผมก็ติดการทำงานมาตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้ตัว (ยิ้ม)"

สมัยเป็น กอล์ฟ-ไมค์ พี่กับน้องชอบทะเลาะกันเรื่องอะไร แล้วใครง้อใคร มีวิธีการง้ออย่างไร ก่อนหน้านี้กอล์ฟแอบเล่า ไมค์ติดเกม เลยชอบโดนกอล์ฟดุอยู่บ่อยๆ เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทำเอาหนุ่มไมค์หัวเราะ และเล่าให้ฟังว่า

"ก็ประมาณนั้นครับ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราเป็นน้อง ก็จะโดนดุบ้าง ทะเลาะกันเรื่องเล่นเกมจริง เพราะเมื่อก่อนผมเป็นโรคเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ยอมออกจากบ้านด้วย

แล้ววันนั้นผมเล่นเกมอยู่ ไม่ยอมซ้อม แล้วพอพี่ดุเราก็ต่อต้านนิดหน่อย แต่ว่าพอทำงานไปเรื่อยๆ จนปรับตัวได้ เราก็เข้าใจว่าเราต้องมีความรับผิดชอบ"

จากนั้นเราถาม ไมค์ พิรัชต์ ต่อว่า แล้วเพราะอะไรไมค์จึงเบนสายตัวเองจากนักร้องมาเป็นนักแสดง เพราะเอาจริงๆ ถึงจะเป็นงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่เหมือนกันแต่อย่างใด 

"ผมรักงานทั้งสองอย่างครับ การที่ผมได้ทดลองงานแสดงก็ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก จนวันนี้งานวงการไม่ว่าจะเป็นร้องหรือแสดง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว"


ทุกวันเหมือนการสอบเอ็นทรานซ์
อย่างที่เราทราบกันว่า ไมค์ พิรัชต์ เลือกที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในประเทศจีนเป็นอย่างมาก แต่หลายๆ คนคงอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วการทำงานที่ต่างประเทศนั้นมันยากง่ายแค่ไหน ซึ่งหนุ่มไมค์ก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองในการทำงานที่ต่างประเทศให้เราฟังว่า 

"ยากมากครับ ยากทุกด้านเลย ทั้งดินฟ้าอากาศ อาหาร วัฒนธรรม ภาษา ทุกอย่างมีความต่างหมดครับ แต่ทุกอย่างมันมีเสน่ห์และสวยงามมากในตัวของมันเอง

เราแค่ต้องรู้ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ด้วยการเปิดใจ ยกตัวอย่างเช่นภาษาก่อนละกันนะครับ ละครหรือผลงานต่างๆ ของผมที่เกิดขึ้นที่จีน ผมตั้งธงให้ตัวเองเอาไว้ว่าผมจะใช้ภาษาจีนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เป็นการตอบแทน

ผมมองว่ามันเป็นการให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติผู้ว่าจ้าง และที่สำคัญให้เกียรติแฟนๆ ที่ติดตามผลงานและสนับสนุนผม ดังนั้นเมื่อผมเลือกแบบนี้ แน่นอนว่าความยากต้องเกิดขึ้น

ทุกวันของผมเหมือนการสอบเอ็นทรานซ์ เพราะผมต้องท่องบทของตัวเองเป็นภาษาจีนทุกวัน ทั้งวัน และที่จีนการถ่ายละครเรื่องหนึ่งก็เหมือนการเข้าแคมป์ เข้าไป 100-120 วัน ถ่ายรวดเดียวจบ ต่างจากการถ่ายที่ไทยอย่างสิ้นเชิงครับ

แต่ผมรู้สึกว่ามันดีนะครับ ทำให้ในแต่ปีสามารถบริหารเวลาได้มากขึ้น ผ่านมาหลายปีมากๆ แล้วครับ วันนี้ผมก็ชินไปแล้ว ส่วนตัวผมชอบมากการที่ตื่นมาทำงานทุกๆ วัน รู้สึกแต่ละวันมัน productive มากๆ

ถัดมาน่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น อากาศ ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ผมชอบมาก คือส่วนตัวผมชอบฤดูหนาวอยู่แล้วครับ

เรื่องอาหาร ผมเป็นคนเปิดกว้างมากเรื่องอาหาร อาหารโปรดที่สุดในชีวิตผมก็ไปค้นพบที่จีนเหมือนกัน แฟนคลับผมรู้เลยว่าไมค์ชอบกิน สุกี้หมาล่า ลิ้นเป็ด สุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องความโดดเดี่ยวมั้งครับ จนวันนี้ก็คือผมชินสุดๆ แล้วครับ (ยิ้ม)"


ฝันไกลไปให้ถึงฮอลลีวูด
จากนั้น เราถาม ไมค์ พิรัชต์ ต่อว่า นอกจากการไปทำงานที่ประเทศจีนแล้ว ไมค์ยังมีเป้าหมายในชีวิตที่ตั้งเอาไว้อีกหรือไม่ งานนี้เราได้รับคำตอบจากปากของหนุ่มไมค์ว่า 

"เป้าหมายสำหรับตัวเอง คือเป็นคนที่ดีขึ้นครับ คนที่เวลาผมมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองได้ แล้วก็ทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจตั้งเป้าไว้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้

เป้าหมายในเรื่องของหน้าที่การงาน ผมอยากลองทำเบื้องหลังครับ อยากเอาประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทั้งชีวิต ปรับเป็นชิ้นงานของตัวเอง เขียนบท กำกับ หรือโปรดิวซ์

เริ่มต้นอาจจะทำร่วมไปก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหมแต่จะไม่หยุดพัฒนาครับ เพราะนี่เป็นเป้าหมายใหม่ของผมไปแล้ว เป็นความฝันที่ตั้งใจพอๆ กับความฝันที่จะไปทำงานฮอลลีวูดเลยครับ ผมตั้งใจไว้แล้ว และหวังว่าจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ครับ"


การทิ้งความฝันก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง
จากนั้น ไมค์ พิรัชต์ ได้เล่าเรื่องราวที่เพิ่งจะค้นหาคำตอบให้กับตัวเองได้เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับแรงผลักดันที่ทำให้เขาเดินมาได้ไกลจนถึงวันนี้ว่า 

"ผมเจอคำตอบที่แท้จริงเมื่อไม่นานมานี้เลยครับ ผมตอบจากใจได้เลยว่า แรงผลักดันที่ดีที่สุดของผมก็คือ อุปสรรคและเป้าหมายครับ

เพราะผมอาจจะเป็นคนที่มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอเป้าหมายนี้เราเดินไปแตะถึงแล้ว ผมก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ที่ยากกว่าเดิม และก็วนอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ

แต่กว่าจะเดินไปแตะแต่ละเป้าหมายที่ตั้งไว้ แน่นอนว่าระหว่างทางมันมีแต่อุปสรรค เพราะอะไรที่เราอยากได้ มันไม่เคยมาหาเราเองง่ายๆ อยู่แล้ว

ยิ่งต้องการมาก ยิ่งยากมาก ยิ่งต้องเดินไปชนอุปสรรคมากขึ้นไปตามลำดับของมัน แต่ทุกความต้องการมันมีต้นทุนของมันที่เราต้องยอมรับให้ได้นะ

ที่ผมตอบได้ชัดเจน ผมสารภาพเลยว่า เพราะผมเคยทอดทิ้งความฝัน ทอดทิ้งเป้าหมาย ทอดทิ้งตัวเองไปช่วงหนึ่ง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนเราคงต้องมีบ้างที่มีช่วงที่ดิ่งมากๆ


เอาตรงๆ ผมคิดเลยว่า ผมในตอนนั้นมันว่างเปล่า ไม่มีความสุข ไม่มีอะไรอีกเลย และมันเป็นพิษกับชีวิต แล้วก็ดึงพลังงานชีวิตไปมากจนน่าใจหาย

และมันคงทุกข์มากจนเราพยายามหาทางออก หาคำตอบให้ตัวเอง ว่าทำยังไงถึงจะเอาตัวเองออกจากความรู้สึกลบๆ แบบนี้

ผมก็รู้เลยในทันทีว่า ชีวิตผมที่ผ่านมามีความหมายได้ เพราะผมมีเป้าหมาย มีแพชชั่น สิ่งนี้แหละที่คอยต่อลมหายใจผมเลย

ดังนั้นเวลาที่ผมดาวน์ หรืออะไรก็ตาม ผมเตือนใจตัวเองเสมอเลยว่า ผมต้องไม่ลืมเป้าหมาย ต้องไม่ทิ้งแพชชั่น ไม่งั้นก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง"

แม้การจะทำตามความฝันของตัวเอง แต่มันก็ต้องมีวันที่เหนื่อยล้า และว้าเหว่ไม่น้อย ในวันที่ท้อแท้ ไมค์ เอากำลังใจจากไหนมาเติมให้กับตัวเอง ซึ่งไมค์ตอบคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มว่า

"ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ผ่านได้ด้วยตัวเองบางเรื่อง ผ่านได้ด้วยกำลังใจจากคนอื่นๆ ในบางครั้ง ผ่านได้ด้วยการซัพพอร์ตจากทั้งครอบครัว คนรอบข้าง แฟนคลับในหลายๆ หน

ผมว่าในความโชคร้ายก็แฝงไปด้วยความโชคดี เป็นเรื่องจริงนะครับ สำคัญตรงที่ว่าผ่านเหตุการณ์ที่ท้อแท้นี้ไปแล้ว เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน มันเป็นบทเรียนที่เราจะไม่ไปทำซ้ำได้ยังไง แล้วทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะแค่เราผ่านมันมา แต่ไม่ยอมเรียนรู้ เรื่องราวนั้นๆ จะกลับมาทำให้เราท้อแท้อยู่เรื่อยๆ ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วกำลังท้อแท้อยู่ในตอนนี้

ผมอยากให้ลุกขึ้นสู้ ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เรื่องนี้ก็ต้องผ่านไปอยู่ ต้องให้เวลากับเวลาด้วยครับ"


ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
จากนี้นั้นเราถาม ไมค์ พิรัชต์ ตรงๆ ว่า ถ้ามองย้อนไปจากจุดเริ่มต้น คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ไหม วันที่ประสบความสำเร็จในการแสดง และได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ระดับฮอลลีวูด ซึ่งไมค์ตอบคำถามนี้ของเราว่า 

"เอาความคิดวันนี้เลยนะครับ ผมยังคงเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องไม่หยุดเรียนรู้ และไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่เสมอ

สุดท้ายก็คือ ต้องไม่ท้อก่อนไปถึงเป้าหมายด้วยครับ ก็คือห้ามยอมแพ้กลางทาง ถ้าเราเริ่มอะไรแล้วก็ควรสานต่อให้จบ (ยิ้ม)"

ไมค์ พิรัชต์ อยากทำหุ่นยนต์ 
ในวันนี้ดูเหมือนชีวิตของผู้ชายคนนี้ ไมค์ พิรัชต์ จะดูประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่น้อย ทำตามความฝันของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ยังมีอะไรที่อยากทำอีกบ้างหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวบอกกับเราว่า 

"อีกเยอะมากเหลือเกินครับ อย่างที่ผมบอกไว้ ผมหยุดเป้าหมายในชีวิตไม่ได้ เพราะมันคือแรงผลักดันของชีวิตผม และผมรักตัวเองที่ทำงานที่สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นผ่านผลงานของผม

ผมยังอยากพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ทั้งสำหรับตัวเองและสำหรับคนที่ผมรักและคนที่รักผมด้วย ผมอยากใช้ความตั้งใจและความพยายามของผมให้มากกว่านี้

ยิ่งผมในตอนนี้ ผมอยากทำผลงานละครทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ผมอยากทำหุ่นยนต์ ผมชอบงานอินทีเรียดีไซน์ ผมจะหยุดตัวเองไว้แค่ที่วันนี้ไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ชีวิตนี้ผมต้องทำให้บรรลุไปให้ได้อีกเยอะเลยครับ"


กำลังใจของ ไมค์ พิรัชต์
คำถามสุดท้ายก่อนจากกัน ถ้าไมค์อยากจะพูดอะไรถึงแฟนคลับของตัวเองที่คอยติดตาม ซัพพอร์ตให้ตลอดเวลา ซึ่ง ไมค์ พิรัชต์ ก็ได้พรั่งพรูความรู้สึกในใจที่มีต่อแฟนๆ ทุกคนของเขาว่า 

"ผมรู้สึกขอบคุณเสมอ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายให้โดยไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทน ผมทำงานในวงการนี้มา 20 ปี บางคนอยู่กับผม ซัพพอร์ตผม เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกับผมยังได้เลย ทั้งที่ไทยและที่จีน

อยู่ตั้งแต่ผมยังเรียนรู้ถูกผิด อยู่เคียงข้างวันที่ผมผิดพลาด วันที่ล้ม แล้วก็ยังยืนหยัดอยู่กับผมในทุกช่วงเวลา และยังอยู่จนวันนี้ที่ผมผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาก็ยังอยู่ซัพพอร์ตกัน บางคนรักเราเหมือนพี่เหมือนน้องไปแล้วก็มี

ตอนผมไปทำงานที่จีน ผมทำงานไม่ได้สนใจตัวเองเท่าไร ก็มีแฟนคลับที่จีนที่ให้กำลังใจให้ผมไม่รู้สึกแปลกแยก สนับสนุนงานผมที่จีนด้วย พวกเขามีพื้นที่ในใจผมเสมอ ผมขอบคุณเสมอ

ขอโทษที่ผมเคยดีไม่พอ และพวกเขาคือส่วนหนึ่งที่ผมตั้งใจจะเป็นคนที่ดีขึ้น ขอบคุณทุกคน ทีละคนไม่ทั่วถึง ผมหวังว่าผมในวันนี้จะไม่เป็นผมที่ทำให้พวกเขาเสียเวลา หรือผิดหวัง อย่างที่ผมเคยพูดไว้

อนาคตผมคงต้องผิดพลาดอีกไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อขอบคุณทุกคน และเพื่อตัวเองด้วยครับ".

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เริ่มนับสถิติตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2556 เวลา 18.24.52 น. (วันและเวลาตอนเปิดเว็บ)
รวมเพ็จวิวทั้งสิ้นจนถึงวันนี้ free counter ครั้ง

Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2009, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF