คนฆ่าตัวตายในสถานการณ์โควิด วิกฤติซ้อนวิกฤติ
WWW.HAMSIAM.IN.TH # แฮมสยามอินไทยแลนด์ HAM COMMUNITY OF THAILAND
วันที่ 28 เมษายน 2024 เวลา 12:21:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เตือนเพื่อนสมาชิก ระวัง นาย ธนันท์ วงค์วัฒนามงคล หลอกลวงสมาชิกที่ลงหาของในเวปโดยอ้างว่ามีสินค้าขายในราคาถูกและให้โอนเงินแต่ไม่ส่งสินค้าให้ โดยขณะนี้มีผู้ถูกหลอกหลายราย เบอร์โทรที่ใช้ 088-9526897 บัญชี ธ.ทหารไทย 2152261794/ ธ.กสิกรไทย 8530024230
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คนฆ่าตัวตายในสถานการณ์โควิด วิกฤติซ้อนวิกฤติ  (อ่าน 153 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
luktan1479
Super Hero Member III
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13076


« เมื่อ: วันที่ 27 กรกฎาคม 2021 เวลา 20:12:33 »





เมื่อ 'วิกฤติโควิด' กำลังทำให้คนไทยเครียด และคิดสั้นมากขึ้น ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ รัฐบาลจึงควรใส่ใจ นอกจากเร่งแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข

วิกฤติโควิด กำลังทำให้คนไทยเครียด และคิดสั้นมากขึ้น หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวคนฆ่าตัวตายจำนวนมาก ทั้ง

- กรณี 'ประกายฟ้า หรือ ฟ้า' ยูทูปเบอร์ชื่อดัง กระโดดลานจอดรถ เสียชีวิต

- ตำรวจติดโควิด ผูกคอตายเสียชีวิต 

- ลูกป่วยโควิดตาย พ่อกระโดดตึกตายตาม


จากข่าวคนฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ สะท้อนความเครียดที่เพิ่มขึ้นของประชาชนในยุคโควิด ความกังวลดังกล่าวสอดคล้องกับกรมสุขภาพจิต ที่ออกมาเตือนว่าโควิด 19 กำลังทำให้คนคิดสั้นมากขึ้น

การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนฆ่าตัวตายในสถานการณ์โควิดเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่การระบาดรุนแรง เช่นในญี่ปุ่น ปีก่อนพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงสุดในรอบ 11 ปี จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮ่องกงร่วมกับสถาบันผู้สูงอายุในโตเกียว พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายช่วง ก.ค. ถึง ต.ค. 2563 เพิ่มขึ้นถึง 16 % จากช่วงเดียวกันของปี 2562

หรือในเกาหลีใต้ ที่สถานการณ์โควิดทำให้อัตราการฆ่าตัวตาย และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น ข้อมูลจากศูนย์สุขภาพจิต ประเทศเกาหลีใต้ พบว่า จำนวนประชาชนปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นถึง 20% จากปี 2562 

สำหรับประเทศไทยนับจากวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 หรือต้มยำกุ้ง อัตราการฆ่าตัวตายก็ลดลงมาโดยตลอด กระทั่งปัจจุบัน จากปัญหาโควิด ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ทั้งนี้ ก่อนโควิด สถิติคนไทยฆ่าตัวตายอยู่ที่ประมาณ 6-7 คนต่อประชากร 1 แสนคน/ปี เช่น

- ปี 2560 ในประชากร 1 แสนคน/ปี มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จที่ 6 คน

- ปี 2561 ในประชากร 1 แสนคน/ปี มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จที่ 6-6.5 คน 

- ปี 2562 ในประชากร 1 แสนคน/ปี มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จที่ 6.36-6.6 คน แต่นับจากมีโควิด สถิติก็เพิ่มขึ้น

- ปี 2563 ในประชากร 1 แสนคน/ปี มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จที่ 7.37 คน สูงขึ้นจากปี 2562 ราว 10% - ขณะที่ใน 5 เดือนแรกของปี 2564 สถิติใกล้เคียงกับทั้งปีของปีก่อน

ตราบใดที่การระบาดยังเพิ่ม มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น ก็เสี่ยงทำให้คนเครียด และคิดสั้นมากขึ้น ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปดูตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง สถิติฆ่าตัวตายอยู่ที่ 8 คนต่อ 1 แสนคน วิกฤติโควิดคราวนี้กำลังพาสังคมไทยกลับไปสู่จุดนั้นอีกครั้ง

ทั้งนี้ อาจแบ่งความเครียดหลักๆ ได้จาก 2 สาเหตุ

สาเหตุแรก ความเครียดจากโรคภัย ทั้งกลัวติด กลัวตาย ความเครียดที่ติดโควิดแล้วต้องรอเตียงอย่างไม่รู้อนาคต หาเตียงไม่ได้ ความเครียดจากกลัวแพร่โรคให้คนในครอบครัว ความเครียดจากการต้องอยู่คนเดียวระหว่างรอเตียงหรือทำการรักษา นำไปสู่ความสิ้นหวังและขาดกำลังใจ

สาเหตุที่สอง ความเครียดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งตกงาน ถูกลดชั่วโมงทำงาน สถานประกอบการถูกปิดทั้งจากพิษเศรษฐกิจและมาตรการเยียวยาของรัฐ ทำให้รายได้ลดลง ผู้นำครอบครัวขาดความสามารถดูแลครอบครัว รู้สึกหมดหวัง สูญเสียคุณค่าในตัวเอง 

ตัวอย่างผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น ล่าสุดสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ระบุว่า โควิด 19 เสี่ยงทำให้ 1 ใน 4 ของแรงงานภาคท่องเที่ยวตกงาน หรือคิดเป็นจำนวนมากถึง 4 ล้านคน โดยหวั่นว่า แรงงานกลุ่มนี้จะเครียดและฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของไทยเมื่อปีก่อน ที่พบว่า กลุ่มอาชีพพนักงานและคนว่างงานมีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจกำลังทำให้คนคิดสั้นเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ มีข้อควรระวังอีก 2 ประการ กล่าวคือ 

ประการแรก พบว่าความเครียดหรือวิตกกังวลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งต้องปฏิบัติงานอย่างหนักภายใต้ความเครียด มาเป็นระยะเวลานาน 

ประการที่สอง จากประสบการณ์รับมือการแพร่ระบาดของโรคติดต่อในอดีตพบว่า ความเครียดหรือวิตกกังวลก่อผลกระทบ ทิ้งร่องรอยยาวนานแม้การแพร่ระบาดจบลงแล้ว โดยเกิดขึ้นทั้งในคนธรรมดา และบุคลากรด้านสาธารณสุข

เรียกว่าวิกฤติโควิด ในทางตรง ทำให้คนเจ็บป่วยทางกาย ในทางอ้อม ยังส่งผลให้คนเจ็บป่วยทางใจด้วย โดยความทุกข์ทางใจเกิดขึ้นได้ ในทุกชนชั้นรายได้ วัย อาชีพ ไม่เลือกว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ 

จากสถานการณ์โควิดที่รุนแรงขึ้น ยังไม่เห็นปลายทางของวิกฤต ผลกระทบจากปัญหาสุขภาพและเศรษฐกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เสี่ยงทำให้คนไทยเครียดและคิดสั้นมากขึ้น 

รัฐบาลจึงควรใส่ใจ นอกจากเร่งแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ควบคุมการระบาดให้ได้ ยังควรพยายามเยียวยาเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจให้ประชาชนอย่างทันท่วงที 

โดยเฉพาะ สำหรับบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งรับภาระรักษาผู้ป่วย ที่นับวันเผชิญความเครียดมากขึ้น ต้องดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ในระยะสั้น สิ่งที่รัฐควรทำทันทีคือ รัฐบาลต้องเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันโรค เช่น หาวัคซีนเข็ม 3 ที่มีประสิทธิภาพมาฉีดอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเพิ่มค่าตอบแทนให้บุคลากรด้านสาธารณสุขอย่างเหมาะสม ซึ่งอย่างน้อยพอช่วยบรรเทาความเครียด และเพิ่มความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น

สุดท้าย เราทุกคนควรใส่ใจคนรอบตัวมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องร้ายกับคนใกล้ตัวกันครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เริ่มนับสถิติตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2556 เวลา 18.24.52 น. (วันและเวลาตอนเปิดเว็บ)
รวมเพ็จวิวทั้งสิ้นจนถึงวันนี้ free counter ครั้ง

Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2009, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF