'เอสซีจี' สะท้อนมุมคิด สร้าง 'โอกาสและทางออก' ในวิกฤต ฉายภาพ
WWW.HAMSIAM.IN.TH # แฮมสยามอินไทยแลนด์ HAM COMMUNITY OF THAILAND
วันที่ 30 เมษายน 2024 เวลา 19:26:15 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ห้ามโพสปั่นลิงก์ SEO ในส่วนของ ลายเซ็นสมาชิกเพื่อจะแสดงที่ด้านล่าง ของแต่ละข้อความที่ตอบกระทู้ เช่น คาสิโน บาคาร่า แทงบอล ฯลฯ เด็ดขาด
หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 'เอสซีจี' สะท้อนมุมคิด สร้าง 'โอกาสและทางออก' ในวิกฤต ฉายภาพ  (อ่าน 83 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
luktan1479
Super Hero Member III
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13076


« เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2022 เวลา 13:52:59 »


'เอสซีจี' สะท้อนมุมคิด สร้าง 'โอกาสและทางออก' ในวิกฤต ฉายภาพ New Normal มองแนวโน้ม 'อาเซียน' โอกาสของการลงทุน
 

ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงในหลายด้านที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญ ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 เงินเฟ้อและสถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย 'เอสซีจี' เดินหน้าปรับวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่น คล่องตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เข้ามาได้อย่างทันท่วงที พร้อมมุ่งมั่นมองหาโอกาส (Opportunity) และทางออก (Solution) รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ New Normal ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังวิกฤตถึงจุดสิ้นสุด ตอบโจทย์สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย มีผลกระทบไปทั่วโลกในหลายด้าน โดยเฉพาะราคาน้ำมันและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ถือเป็นประเด็นหลักในขณะนี้ ซึ่งเอสซีจีได้ติดตามสถานการณ์มาต่อเนื่อง เพราะราคาน้ำมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับราคาวัตถุดิบหลักในธุรกิจเคมิคอลส์ของเอสซีจี นอกเหนือจากต้นทุนราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น โดยองค์ประกอบสถานการณ์ที่นำมาวิเคราะห์มี 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.สถานการณ์สู้รบในยูเครน 2.สงครามเศรษฐกิจ (Sanction) ผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน 3. เรื่องพลังงาน ทั้งปริมาณการผลิต (Supply) และความต้องการใช้(Demand) ของน้ำมัน รวมถึงก๊าซ และ 4. แนวโน้มความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป รัสเซีย นาโต สหรัฐฯ และจีน รวมถึงระยะเวลาการจบเรื่องนี้ ซึ่งจะจบแบบไหน และส่งผลอย่างไร

เปิดผลกระทบต่อ 3 ธุรกิจหลัก 'เคมิคอลส์' หนักสุด
สำหรับผลกระทบต่อ 3 ธุรกิจหลักของเอสซีจีจะมีไม่เท่ากัน โดยธุรกิจเคมิคอลส์ ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะนอกจากแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นแล้ว วัตถุดิบหลักของธุรกิจยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับราคาน้ำมัน ส่วนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะกระทบในเรื่องของต้นทุนพลังงาน เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นมากเช่นกัน ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าอีกสองธุรกิจ เพราะพลังงานไม่ได้เป็นต้นทุนหลักของธุรกิจ และการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนยังไม่สะดุด โดยคนส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไกลตัว

'ผลกระทบครั้งนี้แรงมาก เพราะธุรกิจเคมิคอลส์เป็นครึ่งหนึ่งของเอสซีจี ต้องเจอทั้งเรื่องราคาวัตถุดิบหลักและต้นทุนพลังงานพุ่งสูงมาก ทั้งสี่ปัจจัยเป็นสิ่งที่เรานำมาใช้ในการวิเคราะห์ว่าต้องรับมืออย่างไร และนำวิธีอะไรมาใช้รับมือตรงนี้ แต่ต้องยอมรับว่าปัจจัยทั้งสี่เรื่องนั้น เราแทบทำอะไรไม่ได้เลย เพราะควบคุมไม่ได้ จึงต้องมาดูว่าอะไรที่เราควบคุมได้และต้องทำ เช่น การประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทางเลือก และเรื่องการลงทุน เป็นต้น ส่วนเรื่องขึ้นราคาสินค้าแม้จะทำได้แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีเรื่องของการแข่งขัน ซึ่งต้องดูว่าตลาดตรงไหนสามารถปรับราคาได้ ไม่กระทบกับผู้บริโภคโดยตรง และการขึ้นราคาต้องโปร่งใสและเป็นธรรม มีการบอกต้นทุนเก่าและใหม่ให้ชัดเจน เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว' นายรุ่งโรจน์ กล่าว

'บริหารความเสี่ยง-ปรับแผนลงทุน-ทำตัวให้เบา' รับมือต้นทุนพุ่ง

สำหรับกลยุทธ์ในการรับมือกับสถานการณ์ยูเครน-รัสเซียนั้น เอสซีจีเน้นเรื่องบริหารความเสี่ยง การรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น และปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ มีความยืดหยุ่น คล่องตัว รวมทั้งทำตัวให้เบา คือ right sizing หรือ slim sizing พยายามบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับความต้องการ โดยสิ่งที่ทำเป็นอันดับแรกเป็นการปรับแผนการลงทุน ที่แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ หนึ่งโครงการที่ดำเนินการอยู่ใกล้จะเสร็จสิ้นก็พร้อมสานต่อให้จบ สองโครงการที่กำลังเริ่มและต้องใช้เวลานานคงต้องพักไว้ก่อน สุดท้ายโครงการที่ควรลงทุนในระยะยาว เช่น เรื่องพลังงาน energy transition ซึ่งตรงกับ low carbon strategy หรือไปถึง net zero เรื่องของดิจิทัล รวมทั้งทำให้ Supply chain เข้มแข็ง

มองภาพยุค New Normal ปักหมุด 'อาเซียน' โอกาสในการลงทุน
ผลกระทบกับเศรษฐกิจในแต่ละกลุ่มประเทศจะไม่เท่ากัน เช่นในอาเซียน ประเทศที่พึ่งพาน้ำมันมากจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่พึ่งพาน้อย จึงต้องมาคิดปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานให้น้อยลงและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในระยะยาวแม้สถานการณ์คลี่คลายแต่ราคาน้ำมันคงไม่กลับมาเท่าเดิม และสงครามเศรษฐกิจอาจยังคงอยู่ ดังนั้น New Normal คือ ราคาต้นทุนพลังงานที่สูง และความร่วมมือแบบเดิมของกลุ่มประเทศต่าง ๆ ก็ยากขึ้น ซึ่งมองว่าอาเซียนจะได้ประโยชน์ เนื่องจากไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมีกำลังซื้อสูงจากจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน หากมีการประชาสัมพันธ์ให้ดีจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุน โดยขณะนี้นักลงทุนได้ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ หันไปลงทุนในตลาดที่ตัวเองขาย ไม่ใช่ต้นทุนถูกที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของประเทศไทย จึงต้องทำตัวให้โดดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่มองหาตลาดแรงงานที่มีความรู้และทักษะพร้อม ที่สำคัญคือมีระบบป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาที่ดี เพราะนักลงทุนจะกลัวเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก

'ทางรอดของธุรกิจ นอกจากเงื่อนไขเรื่องความเข้าใจในสถานการณ์ความขัดแย้ง และองค์ประกอบ 4 เรื่องแล้ว ในระยะสั้นทุกคนต้องประเมินความเสี่ยงก่อน ว่าทำอะไรได้แค่ไหน และเตรียมพร้อมอยู่เสมอคือ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นำมาใช้ในการทำงานอย่างรวดเร็ว พร้อมปรับตัวในแง่ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การหาตลาดให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ ทำตัวให้เบา บริหารเงินทุนหมุนเวียนให้ดี ระมัดระวังในการก่อหนี้ ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 6 ครั้งในปีนี้ ตลอดจนทำ supply chain ให้เข้มแข็ง รวมถึงการลดใช้พลังงานในระยะยาว'
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เริ่มนับสถิติตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2556 เวลา 18.24.52 น. (วันและเวลาตอนเปิดเว็บ)
รวมเพ็จวิวทั้งสิ้นจนถึงวันนี้ free counter ครั้ง

Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2009, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF